เทศน์บนศาลา

ธรรมผ่ากิเลส

๑๔ มิ.ย. ๒๕๔๖

 

ธรรมผ่ากิเลส

พระอาจารย์สงบ  มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๖

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจ  ตั้งใจฟังธรรมนะ  ธรรมะเป็นของประเสริฐ เป็นของประเสริฐมาก เป็นของประเสริฐจนเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมจับต้องกันไม่ได้ เราหาสิ่งนี้ไม่ได้ ถ้าไม่พบพระพุทธศาสนา ไม่พบองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ศาสนธรรมไง เราเป็นชาวพุทธ    อยู่ใต้ร่มธงของพระพุทธศาสนา พุทธศาสนา พุทธะเห็นไหม พุทธะคือหัวใจ พุทธะคือผู้รู้ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในหัวใจ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ตื่นนั้นเป็นผู้ที่จะพยายามเข้าใจ แสวงหาตัวเอง แสวงหาสัจธรรม ความเป็นจริงในหัวใจของเรา ถ้าหัวใจดวงนี้เข้าถึงความเป็นจริงในหัวใจของเรา อันนี้จะเป็นว่า เป็นความเห็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะตื่นขึ้นมา ตื่นจากวังวนของโลกไง อยู่กับโลกเขา วังวนของโลก จิตนี้จะหมุนไปตามโลกเขา

ปฏิสนธิจิต จิตนี้เกิดในครรภ์ของมารดา ปฏิสนธิวิญญาณ วิญญาณเกิดเป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดต่างๆ กันไป เกิดแล้วก็ลืม ลืมคือว่าเพลินไปกับชีวิต สิ่งที่เป็นชีวิตนี้เพลินไปตลอดไป เพลินไปอยู่อย่างนั้น แล้วก็เพลินไปขนาดไหน มันก็ทำให้เราเสียเวล่ำเวลาไป เวล่ำเวลา เวลาของภพชาติหนึ่ง เกิดมาแล้วต้องตาย เกิดมาแล้วต้องตาย ชีวิตหนึ่ง แสนทุกข์แสนยาก แต่การเกิดเป็นมนุษย์นี้ เป็นสมบัติอันประเสริฐ ประเสริฐเพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เห็นไหม สัตว์มนุษย์ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วออกแสวงหาโมกขธรรมจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์

เป็นศาสดาเป็นผู้ที่สอนเทวดา สอนอินทร์ สอนพรหม สอนมนุษย์ สอนทุกอย่างเลย เพราะเข้าใจเรื่องจิต จิตปฏิสนธิ ปฏิสนธิจิตนี้เข้าใจตามสิ่งนี้ สิ่งนี้ดับ ดับความเคลื่อนไหวของกิเลส กิเลสนี้พาให้จิตนี้เคลื่อนไหว เคลื่อนไปตามอำนาจของกิเลส  กิเลสนี้มีอำนาจเหนือใจดวงนั้น ทำให้ใจดวงนั้นต้องเกิดต้องตาย ตายไปอย่างนั้น แล้วก็ลุ่มๆ ดอนๆ  เกิดสูงๆ ต่ำๆ ทุกดวงใจนี้เคยเกิดสูงเกิดต่ำมา ทุกดวงใจต้องเป็นสภาวะแบบนั้น ไม่มีดวงใจดวงไหนทำแต่คุณงามความดี ไม่เคยทำความผิดพลาดเลย หรือทำความผิดพลาดจนไม่เคยทำคุณงามความดีเลย มันถึงยาวไกล

วัฏฏะนี้ยาวไกลมาก  แล้วเราก็ต้องตามวัฏฏะนี้ ขับไสไปด้วยอำนาจของกรรม ถ้ากรรมดีเราเกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา ศาสนาสอนเรื่องนี้ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราตื่นไหม ถ้าเราตื่นขึ้นมานี่ เราจะแสวงหาธรรมได้ แสวงหาธรรมหาคุณงามความดีของใจ ใจมีคุณงามความดี ใจถึงจะยืนขึ้นมาได้ ใจถึงจะเริ่มประพฤติปฏิบัติได้ เพราะมีคุณงามความดี มันถึงฝืนกิเลสได้ไง กิเลสขับไสให้ใจนี้ ไปตามอำนาจของมัน ต้องการสิ่งใดต่าง ๆ ก็แสวงหาสิ่งนั้นมา เพื่อสนองความต้องการของกิเลส ไม่ใช่ความต้องการของมนุษย์นะ ไม่ใช่ความต้องการของเรา ถ้าตามความต้องการของเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัญญัติเอาไว้แล้ว ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยนี้ขาดไม่ได้ ถ้าหากปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยนี้ เราขาดสิ่งนี้ไป การดำรงชีวิตมันจะเป็นไปด้วยความเป็นไปไม่ได้ ไม่เป็นธรรมชาติ สิ่งที่เป็นธรรมชาติ ปัจจัย ๔  เครื่องอยู่อาศัย อาศัยพอให้เรามีชีวิตอยู่ แล้วเราพยายามแสวงหาตัวเองให้ได้ ถ้าแสวงหาตัวเองได้เห็นไหม เวลาฝนตก ฟ้าร้องขึ้นมานี่ เวลาปกติ ฟ้าไม่มีเมฆ ไม่มีฝน ฟ้ามันก็ปกติ แล้วเวลามีฝนฟ้าขึ้นมา ฝนจะตกขึ้นมานี่  มันต้องก่อตัวขึ้นมาก่อน ต้องมีเมฆ มีหมอก มีเมฆขึ้นมาก่อนแล้วถึงก่อตัวขึ้นมา แล้วพยายาม เกิดฝนตก ถ้าฝนตกขึ้นมา

ใจก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่มีสิ่งต่างๆ เลย เราคิดว่า เราแสวงหาธรรม เราคิดของเรา แล้วเราไม่เคยทำปรากฏการณ์ของใจให้ขึ้นมาเป็นธรรมชาติแบบนั้น เห็นไหม ฝนจะตกต้องมีฟ้า ต้องฟ้าร้อง ต้องมีเมฆ ใจก็เหมือนกัน ไม่มีสิ่งใดเลย การแสวงหาการประพฤติปฏิบัติธรรมก็อย่างนี้ ใจของเรามันจับต้องสิ่งใดไม่ได้ เวิ้งว้าง ว่างไปหมดเลย เกาะเกี่ยวสิ่งใดก็มองไม่เห็น มองไม่เห็น เห็นไหม เราต้องพยายามน้อมกลับเข้ามาหาใจของเราให้ได้ ก่อเมฆ ก่อฝนขึ้นมาในหัวใจของเรา ถ้าฝนตกขึ้นมามันจะเป็นความชุ่มชื่นของใจ ฝนตกลงมาเห็นไหม ฝนตกลงไป พืชพันธุ์ธัญญาหารมันจะเจริญงอกงามขึ้นมา

การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเราทำคุณงามความดี เราปฏิบัติธรรมของเราขึ้นมา มันก็เกิดความชุ่มเย็นของใจ ใจชุ่มเย็นขึ้นมา ก็ว่านั้นเป็นสภาวธรรม พืชผลมันก็มีพวกวัชพืชเหมือนกัน สิ่งที่เป็นวัชพืช มันเกิดง่ายกว่าพืชผลของเรา อย่างเช่นข้าวกล้า เราต้องหว่านต้องไถ เราต้องรักษาของเรา แต่หญ้าไม่ต้องรักษาเลย กิเลสก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เวลาฝนตกฟ้าร้องขึ้นมา เราว่าเป็นธรรม เป็นธรรม มันเป็นธรรมของเรา มันเป็นสิ่งที่ว่ากิเลสอาศัยสิ่งนั้นไป  เพราะไม่มีฟ้าผ่าไง  ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ต้องผ่าลงมา ธรรมจะรวมตัวขึ้นมาแล้วผ่าลงไปในกิเลส กิเลสในหัวใจต้องขาดออกไป สิ่งที่จะขาดออกไปเห็นไหม เวลาฟ้าผ่าขึ้นมา เพราะอะไร นานๆ ฟ้าจะผ่าสักทีหนึ่ง แล้วผ่าลงมา ต้องผ่าโดนกิเลสด้วย กิเลสถึงจะตาย ถ้าผ่าลงมาไม่โดนกิเลส กิเลสก็ไม่ตาย 

การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน จิตมันเป็นไปตามสภาวะของมัน มันแห้งแล้งจิตนี้แห้งแล้ง เปรียบเหมือนดินแตกกร้าน ไม่เคยเจอฝนเจอน้ำเลย แตกระแหงเป็นสภาวะแบบนั้น แต่จิตของคนไม่เหมือนกัน ถ้าคนทำคุณงามความดีมา สร้างกุศลมา สิ่งที่ว่าความชุ่มเย็นของใจ เห็นไหม ใจคนประเสริฐขึ้นมา สิ่งนี้คือดินไม่แห้งแล้งจนเกินไป ดินชุ่มน้ำ ดินควรแก่การงาน  ควรแก่การปัก ดำ หว่าน ไถ ไง สิ่งที่ปักดำหว่านไถ คือ นา ผลจะเกิดขึ้นมาจากใจดวงนั้น เป็นความสุขขึ้นไป เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เป็นชั้นเป็นตอนเพราะมันมีความรู้สึกไง มีความรู้สึกไม่ทุกข์ยากจนเกินไป แต่ของเรามันทุกข์ยากเห็นไหม เพราะเราทุกข์ยาก เราถึงต้องแสวงหา เราจึงต้องพยายามทำขึ้นมาให้เกิดขึ้นในหัวใจของเรา

ทาน ศีล ภาวนา ทานเห็นไหม ผู้เป็นคฤหัสถ์นี้ ทาน ศีล ภาวนา  ภิกษุนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะว่าเป็นผู้ที่ออกเป็นนักรบแล้ว เราเป็นนักรบ เราจะรบกับกิเลส เราต้องพยายามทำของเราขึ้นมา มีศีล สมาธิ ปัญญา ขึ้นมาเลย ทานของเรา เราไม่มีโอกาส แต่ยกเว้นแบบว่า ผู้มีธรรมเห็นไหม  ให้ธรรมเป็นทาน สภาวธรรม ให้วิชาการเป็นสิ่งที่ว่า เป็นประโยชน์กับหัวใจดวงนั้น ให้หัวใจดวงนั้นลืมตาขึ้นมาได้ ทานเห็นไหม ทาน สิ่งที่ให้ทาน ธรรมเป็นทานสูงที่สุด  วิชาการทำให้คนมีอาชีพ มีสัมมาอาชีวะ สิ่งนี้สำคัญที่สุด  สิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะทำให้ใจดวงนั้นอยู่ได้ ให้อาศัยสิ่งที่ว่าเป็นความเข้าใจ ไม่ว้าเหว่จนเกินไปไง 

ใจว้าเหว่ ถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งใด เราจะมีความลังเลสงสัย เราจะมีความทุกข์ใจของเราเพราะเราทำสิ่งนั้นไม่ได้  แต่ถ้าเรารู้จริงขึ้นมา สิ่งนั้นจะหลอกเราไม่ได้ ความรู้จริงเห็นไหม สุตมยปัญญา ธรรมที่เกิดขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ของจริง กิเลสตายมาแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเย้ยมารไง  มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เธอจะเกิดอีกไม่ได้แล้ว เพราะตายไปจากหัวใจของเรา จะไม่มีมารในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย อันนี้เป็นธรรมที่บริสุทธิ์ผุดผ่องเห็นไหม สุตมยปัญญา เราก็ศึกษาเราก็เล่าเรียน เราต้องเล่าเรียนให้เป็นแนวทาง เป็นแนวทางนั้นแต่อย่าให้กิเลส เห็นไหม ฝนตกวัชพืชมันก็เกิด กิเลสมันเกิดก่อน กิเลสมันเกิดง่ายกว่า มันตีค่าไปก่อนไง ความมุ่งหมายของกิเลสมันตีค่าไปก่อน

สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา เราคาดหมายเป็นธรรม เป็นธรรม มันถึงว่าเราต้องตรวจสอบทดสอบตนเองตลอดเวลาสิ่งนั้นจะเป็นธรรมจริงไหม สิ่งนั้นเป็นธรรมจริง มันจะต้องขาด ต้องมีความหลุดออกไปจากใจ สิ่งที่กิเลสหลุดออกไปจากใจสิ่งนั้นสำคัญที่สุด แล้วมันจะมีเหตุมีผล ทำไมถึงหลุดออกไปจากใจล่ะ มรรคสามัคคีไง ฟ้าผ่า ธรรมผ่าลงไปที่กิเลส กิเลสมันจะขาดออกไปจากใจ แต่เราหากิเลสไม่เจอ เราทำของเราไม่ได้ เพราะเราคิดว่า สุตมยปัญญาของเรานี้ มันเกิดวัชพืชปกคลุมไปก่อน สิ่งที่ปกคลุมไป เป็นธรรมคาดหมาย ธรรมด้นเดา ถ้าด้นเดาไป จะเป็นความด้นเดาของเราไป ด้นเดาของกิเลสออกหน้า เห็นไหม

การประพฤติปฏิบัตินี้ กิเลสไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติไปกับธรรมหรอก ธรรมเป็นสภาวะที่เราต้องเกิดขึ้น อย่างเมฆหมอกกว่าจะก่อตัวเป็นฝนได้ เราต้องพยายามก่อตัวขึ้นมา เป็นความพยายามของเรานะ เราต้องก่อธรรมของเราขึ้นมา สัมมาสมาธินี้เป็นธรรมอย่างประเสริฐที่สุด ถ้าไม่มีสัมมาสมาธินี้ เป็นโลกียะตลอดไป สิ่งที่เป็นโลกียะเป็นความเห็นของเรา เป็นวัชพืชปกคลุมไปทุกอย่าง สิ่งที่ปกคลุมไปทุกอย่างนี้มันเป็นของมันไปใช่ไหม แต่มันก็มีอยู่เห็นไหม ในโลกนี้วัชพืช หญ้านี่เกิดง่าย ลองมีฝนตกมาดินนั้นชุ่มฉ่ำ หญ้าก็จะเกิดทันทีเลย นี้ก็เหมือนกัน กิเลสมันเกิดในหัวใจ มันเกิดโดยธรรมชาติของมัน มันมีอยู่แล้ว

สิ่งที่มีอยู่แล้ว ถ้าเราใช้ปัญญามันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันก็เป็นประโยชน์  เป็นประโยชน์เพราะสิ่งต่างๆ เห็นไหม หญ้าเลี้ยงสัตว์ สัตว์นั้นก็เจริญงอกงามขึ้นมาได้  หญ้านั้นเลี้ยงสัตว์ นี้ก็เหมือนกัน เราเอาวัชพืชนั้น มันเป็นกิเลสอยู่แล้วนี่ เราว่าเราจะปฏิเสธสิ่งนี้ ไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเลยในหัวใจ มันเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเรามีกิเลสอยู่เห็นไหม กิเลสในใจเรามีอยู่ สิ่งที่มีอยู่นี่ เราต้องพลิกแพลงแก้ไขมันตลอดไป สิ่งนี้เป็นเรื่องของความหยาบๆ กิเลสอย่างหยาบในใจของเรา มันแสดงตัวของมันขึ้นมา  เราจะทำอย่างไรให้มันสงบตัวลง สงบตัวลง  การฆ่าไง

สมถกรรมฐาน สมถะคือ ทำความสงบของใจ มันฆ่าได้วัชพืชเฉยๆ แต่มันไม่ฆ่ากิเลส วัชพืช กดให้หญ้าตายไปเห็นไหม หินทับหญ้าไว้  สัมมาสมาธิกดให้หญ้าตายไว้ ที่ดินนั้นมันก็ไม่มีหญ้าเห็นไหม เราควรจะปลูกอะไรเป็นประโยชน์ของเราขึ้นมา ถ้าเราจะหว่านกล้า เรามีกล้าไหม ถ้าเรามีกล้า เราต้องเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม สิ่งนั้นจะเป็นกล้าปลูกขึ้นมา แล้วการประพฤติปฏิบัติของเราต้องสม่ำเสมอไง เราทำของเราสม่ำเสมอไป แต่นี้มันไม่เป็นอย่างนั้น ฤดูกาลเห็นไหม หน้าฝน ฝนตก มา เราก็หว่านกล้า หว่านไถ ปล่อยให้กล้าขึ้นมา จน ๖๐ วันเราเกี่ยวข้าว เกี่ยวแล้วมันก็มีแต่ฟางข้าว

ปีหนึ่งทำ ๓ เดือน ๔ เดือนขึ้นไป แล้วก็เวียนไปตามแต่วันเวลาของฤดูกาลไป มันทำไม่สม่ำเสมอ เห็นไหม กิเลสมันเกิดตลอดเวลา สิ่งที่เกิดกับใจนี้เกิดตลอดเวลา เราต้องไม่อาศัยฤดูอาศัยต่างๆ อาศัยฤดูว่าจะทำเฉพาะว่าฤดูฝนเท่านั้น ฤดูฝนถึงจะชุ่มฉ่ำถึงควรแก่การงาน อันนั้นเป็นฤดู มันถึงว่าความสม่ำเสมอเห็นไหม ทำตลอดไป ๗ วัน ๗เดือน ๗ ปี นี้ กิเลสต้องตายจากใจแน่นอน สิ่งนี้เป็นการยืนยัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก มียืนยันเด็ดขาดอยู่แล้วว่า ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี นี้ ผู้ที่ปฏิบัติสม่ำเสมอ เสมอต้น เสมอปลาย แต่ความสม่ำเสมอของเราไม่สม่ำเสมอ

บทเวลามีกำลังใจขึ้นมา ธรรมมันเกิดขึ้นมา มีกำลังใจ เรามุมานะได้ชั่วครั้งชั่วคราว แล้วเราก็ท้อถอยแล้วเราก็อ่อนแอไป เพราะว่ากิเลสมันมีอำนาจเหนือกว่า สิ่งที่มีอำนาจเหนือกว่า  เพราะสิ่งนี้มันเป็นเจ้าวัฏฏะ พญามารไง ปกคลุมสิ่งต่างๆ ปกคลุมสัตว์โลกมาตลอด วัฏวนนี้  พญามารนี้เป็นเจ้าวัฏฏะ เราก็เกิดในวัฏฏะ สิ่งที่เราเกิดในวัฏฏะ สิ่งนี้มันถึงมีอยู่ในหัวใจ โดยธรรมชาติของมัน แล้วเสียดแทงนะ เป็นโทษมากกับดวงใจของสัตว์โลก จะเป็นโทษมากเลย เพราะสิ่งนี้เสียดแทงแล้วหมุนเวียนตายไป ตายเกิด  ตายเกิด  โทษอย่างอื่นในโลกเรา เราเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์

สิ่งที่ว่าเป็นความลำบากต่างๆ เห็นไหม การประกอบสัมมาอาชีวะ การเป็นนักบวช การเป็นพระเป็นเณร เราทำแล้ว มันต้องมีวัตรปฏิบัติ มันเป็นการว่าทำไมมันยุ่งยากขนาดนั้น ทำไมเราอยู่ปกติไม่ได้   ได้ถ้าเรารักษาใจของเรา นี้เราไม่รักษาใจของเรา เพราะใจของเรามันดีดดิ้น ถ้าใจเราดีดดิ้น สรรพสิ่งในสถานะต่างๆ นั้นจะดีดดิ้นตามไปหมดเลย ถ้าใจมันคึกคะนองมันจะหมุนออกไปตามประสาโลกของมัน แล้วจะเป็นไป สิ่งที่เป็นไปเห็นไหม ถ้าเราย้อนกลับเข้ามา ศีล สมาธิ ปัญญา  ศีลนี้ปกครองเข้ามา ให้จิตนี้ย้อนกลับ ย้อนกลับทวนกระแส ความคิดของโลกเหมือนกัน

ผู้ที่เริ่มทำประกอบสัมมาอาชีวะ สัมมาอาชีพต่างๆ มันก็มีอุปสรรค มีขวางหน้าตลอดไป เราต้องแก้ไขสิ่งนั้นไป สิ่งนั้นว่าเป็นความทุกข์ เป็นความยุ่งยาก มันเป็นส่วนหนึ่งเห็นไหม แต่การประพฤติปฏิบัติ เวลาเราเดินจงกรม เรานั่งทำสมาธิ เราทำความเพียร เราต้องอาศัยความเพียร ความเพียรของเรานี้ มันเกิดขึ้นอย่างไร  อาศัยเมฆหมอกไง เราจะให้เมฆหมอกเกิดขึ้นมาให้ฟ้าร้อง ให้ฝนตกลงมาในหัวใจของเรา ให้มีความชุ่มเย็นในหัวใจ หัวใจจะชุ่มเย็น

ถ้าทำปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สิ่งที่สมควรแก่ธรรม มันจะเป็นโดยธรรม สัจจะความจริง ฟ้าร้อง ฝนตกนี้ ก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่งใช่ไหม มันเกิดตามสภาวะของฤดูกาล สิ่งที่เป็นฤดูกาล  บางปีก็แห้งแล้ง บางปีก็ฟ้าฝนมาก ทำให้น้ำท่วม ฤดูกาลธรรมชาติเป็นแบบนั้น  สภาวธรรมว่าเป็นธรรมชาติ ใจก็เป็นธรรมชาติ การเกิดและการตายอยู่ในธรรมชาติ อยู่ในวัฏฏะนี้ ก็เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่ง แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ เข้าใจทฤษฎี เข้าใจสัจจะความจริง ในธรรมนั้น แล้วใจมันประเสริฐกว่านั้น สภาวธรรมนั้น ธรรมนั้นจะรวมตัวมรรคสามัคคีแล้วจะฟาดฟันกับกิเลส เห็นไหม

ฟ้าผ่าลงไป พืช ต้นไม้จะตาย หรือคนเจ็บไข้ได้ป่วย หรือตายไป ถ้ามันผ่าแรง นี้ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันรวมตัวขึ้นมา มันจะรวมตัวอย่างไร มันจะเป็นมรรคสามัคคีอย่างไร ธรรมจะเกิดกับเราอย่างไร ธรรมเกิดกับเราขึ้นมา เราต้องปฏิบัติธรรมเห็นไหม ต้องฝึกฝนจะเกิดขึ้นมาลอยๆ ไม่ได้หรอก มันต้องมีเหตุมีผล แล้วเหตุผลเกิดมาจากไหน เหตุผลเกิดขึ้นมาจากในสมาธิ ในการเดินจงกรม ในทางความเพียรของเรา การประพฤติปฏิบัตินี้ เป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติ สิ่งนี้เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่ธรรมที่เหนือธรรมชาติยังไม่เกิด ถ้าธรรมที่เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นมา เห็นไหม เป็น อกุปปธรรม สิ่งนี้คงที่ เหนือธรรมชาติ

ธรรมชาติในวัฏฏะนี้เวียนไป แต่ใจดวงนี้ถ้าเป็นอกุปปธรรมแล้วนี้ จะไม่ไปตามวัฏฏะเลย จะหมุนเวียนไปไม่ได้ ไม่เป็นวัฏฏะ แต่สภาวธรรมที่เราสร้างขึ้นมา เมฆหมอกที่เราสร้างขึ้นมานี้ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา เห็นไหม ธรรมทั้งหลาย แปรสภาพตลอดเวลา สัพเพ ธัมมา  ธรรมทั้งหมดเลย เป็นอนัตตา สิ่งที่เป็นอนัตตา เพราะมีความเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป สิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เพราะเราพยายามสร้างสมของเราถึงเกิดขึ้นมาได้  ถ้ามันเกิดขึ้นมาในหัวใจของเรา มันก็จะเริ่มเป็นงานของเรา เป็นความชุ่มฉ่ำ มันเกิดเมฆเห็นไหม ถ้าเกิดแล้ว สัมมาสมาธิเกิดขึ้น ฟ้าร้องแล้วฝนไม่ตกเห็นไหม เราเตรียมภาชนะรองน้ำเต็มที่เลยว่า ฟ้าร้องเมฆหมอกมาแล้ว ฝนตกลงมา เพื่อจะเกิดความชุ่มเย็นของเรา มันไม่เกิด สิ่งนี้มันไม่เกิดเพราะฟ้าร้องแล้วฝนไม่ตก สิ่งที่ฝนไม่ตกเพราะว่า มันเป็นธรรมชาติที่มันไม่สมควรอย่างที่ว่า ฝนจะตกลงมา

ใจก็เหมือนกัน ถ้าเราทำไม่ถึงที่สุด มันไม่เกิดผลประโยชน์กับเราขึ้นมา เกิดก็เล็กน้อยเห็นไหม ตั้งเค้าขึ้นมาก็มีความดีใจ ฟ้าแลบแป็บหนึ่งมันก็เห็นสภาวะต่างๆ ใจก็เหมือนกัน สิ่งที่มีสภาวะเห็น สภาวะเห็นต่างๆ เห็นไหม นิมิตเกิดขึ้น ฟ้าแล็บแป็บๆ ขึ้นมา เราจะดีใจกับสิ่งนั้น มันยังไม่ใช่ ฟ้าผ่า มันต้องเป็นฟ้าผ่า ปรากฏการณ์ของฟ้าผ่า ของธรรมะที่ผ่าลงไปในกิเลส  มันต้องเป็นปรากฏการณ์ที่ว่าเราสร้างขึ้นมา สิ่งที่สร้างขึ้นมาเห็นไหม เราจะสร้างอย่างไร มันต้องเตาะแตะ  ปฏิบัติของเรา

ถ้าผู้ใดปฏิบัติผู้นั้นจะเห็นธรรม สภาวะแบบนี้ สภาวธรรมของใจ เห็นไหม เป็นปัจจัตตัง สิ่งที่เป็นปัจจัตตังเกิดขึ้นมาจากหัวใจ เกิดขึ้นมาจากมรรคในหัวใจ เห็นไหม ภาวนามยปัญญานี้ ธรรมจักร จักรนี้จะเกิดขึ้นมาด้วยการพยายามค้นคว้าของเรา ถ้าเราค้นคว้าสิ่งนี้ขึ้นมาได้ มันจะเกิดเป็นภาวนามยปัญญา เกิดเป็นปัญญา แล้วจะเห็นสภาวะตามความเป็นจริงเห็นไหม  รวมตัวหนหนึ่ง ฟ้าผ่า ธรรมนี้ ธรรมจักรหมุนแล้วผ่าลงไป ผ่าลงไปที่กิเลส กิเลสอยู่ที่ไหน  กิเลสอยู่ที่จิต อยู่ที่หัวใจ หัวใจนี้ติดที่ไหน ติดที่กาย เอากายก็ได้ เอาจิตก็ได้  สิ่งนี้ต้องยกขึ้นวิปัสสนา  จะวิปัสสนาได้ ต่อเมื่องานจะเป็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง

ความเป็นจริงของสภาวธรรมที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่เป็นการฟ้าร้อง  ความคาดการหมายนี้ ฟ้าร้องแล้วฝนไม่ตก สิ่งที่ฝนไม่ตกนี้แหละ เจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม  ความประพฤติปฏิบัติ เวลาเราเจอขึ้นมาเราก็มีความพอใจ เวลาเสื่อมขึ้นมาเราก็มีความเสียใจ ความพอใจกับความเสียใจ  ความชอบใจกับความเสียใจ อันนี้มันเป็นสิ่งที่ว่าให้คะแนนกับตัวเองไง ให้คะแนนกับเรื่องของใจ ใจนี้ให้คะแนน พอมีคะแนนขึ้นมา เวลาเจริญขึ้นมา มันก็พอใจ มีความเพลิดเพลินไป สติไปไหน ถ้ามีสติอยู่สติจะควบคุมสิ่งนี้ตลอดไป ควบคุมของเรานะ สัมมาสติ  สัมมาเห็นไหม สติ  มิจฉาสติ คือ สติของเขา ตั้งขึ้นอยู่ แต่ทำสิ่งที่เป็นอกุศล สิ่งที่เป็นอกุศล สิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์กับใจดวงนั้นเลย เป็นบาปกรรม 

บาปกรรมที่จะต้องทำให้ใจนี้จะต้องไปตามกระแสของกรรม กรรมอันนี้มันขับไสมาพอแรงแล้ว เราก็เคยสร้างมาพอแรงแล้ว เราเกิดมา เกิดตาย เกิดตาย ไปกับวัฏฏะ สิ่งนี้ไม่ต้องไปสงสัย ถ้าประพฤติปฏิบัติจนเข้าถึงธรรมแล้วจะไม่สงสัยสิ่งต่างๆ นี้เลย สิ่งนี้เกิดขึ้นมามันเป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องของวัฏฏะ เป็นเรื่องของวิวัฒนาการ สิ่งที่เป็นวิวัฒนาการของโลกมันหมุนไปตามสภาวะแบบนั้น แล้วมันก็เจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม สภาวะเป็นอย่างนั้นตลอดไป จะเกิดนะ ถ้าโลกนี้ เวลา ๕,๐๐๐ ปี ผ่านไปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว พระศรีอาริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้ไปข้างหน้า

สิ่งที่เป็นข้างหน้านี้ ก็จะมีโลกหมุนเวียนไป จะต้องมีศาสนานี้เสื่อมไป ๆ ๆ จนถึงที่สุด จะไม่มีสิ่งที่เป็นเครื่องหมายของศาสนาเลย นั่นแหละ พระศรีอาริยเมตไตรยถึงจะมาตรัสรู้อีกทีหนึ่ง แล้วเวลาเราอ่านพระไตรปิฎกขึ้นมาเราก็คาด เราก็หมายว่า ในตำราว่าจะเป็นอย่างนั้น เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันจะไม่มีความสุข มันเป็นความเพียร  มันประพฤติปฏิบัติยาก เราก็อาศัยรอพระศรีอาริยเมตไตรย แล้วเราจะปฏิบัติได้ง่าย การคาดการหมายมันจะไม่สมหวังหรอก ความหวังนี่เป็นตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่เป็นตัณหาความทะยานอยากนี้หลอกให้กิเลสหมุนเวียนไป

สิ่งที่หมุนเวียนไปไง เราเกิดขึ้นมาพบพุทธศาสนาอยู่ตรงหน้า ถ้าเราประกอบความเพียรของเราขึ้นมา เราทำประโยชน์ของเราขึ้นมา มันก็จะเป็นประโยชน์กับเราโดยปัจจุบันนี้  มันก็คาดซะ มันก็หมายซะ ผลักไปซะ ให้เราไปหวังอนาคตข้างหน้า สิ่งที่เป็นอนาคตข้างหน้า จิตนี้เวียนตายเวียนเกิดจะไปประสบตรงนั้นไหม การสร้างเห็นไหม เวลาที่ย้อนกลับมาที่เรา เราเกิดขึ้นมานี้ ทุกคนอยากพบองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะถ้าเราพบองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสอนถึงจริตนิสัยตรงกับความเห็นของเรา แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติง่าย นั่น เป็นสหชาติ

ผู้ที่จะสร้างบุญบารมีขึ้นมา เกิดเป็นสหชาติขึ้นมา จะสร้างเวรสร้างกรรมมาร่วมกัน แล้วนี่เราสร้างเวรสร้างกรรมขึ้นมาขนาดไหน จะไปเกิดร่วมอย่างนั้น จะไปเกิดร่วม เป็นการคาดหมาย เพราะเราอาศัยไง อาศัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก แล้วเราก็จำในพระไตรปิฎกมา พระศรีอาริยเมตไตรยจะมาเกิดข้างหน้า เวลาศึกษาธรรมขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์กับเราไหม ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา นี่มันเป็นความจริง

วัฏฏะจะหมุนไปอย่างนั้น แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่มีสอง ต้องถูกแน่นอนจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป แต่มันเป็นที่เรานะ เราจะประสบอย่างนั้นไหม เราจะเป็นความจริงอย่างนั้นไหม เราจะเข้าไปอย่างนั้นไหม  สิ่งที่อยู่ปัจจุบันนี้มันอยู่ตรงหน้า เราปฏิเสธ แล้วเราก็ไปคาดหมาย เราไปหวังสิ่งที่ว่า มันเป็นสุญญากาศ เป็นอากาศที่เราจะจับต้องไม่ได้ ปัจจุบันนี้จับต้องได้ ทุกข์เกิดที่ไหน ทุกข์ดับที่นั่น ทุกข์เกิดขึ้นมาเพราะมีสภาวะความรับรู้ เพราะใจรับรู้ ร่างกายไม่รับรู้หรอก คนตายไปแล้วเผาไฟ มันไม่ร้องเลย มันไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้เลย เพราะอะไร เพราะจิตไม่ได้อยู่ในร่างกายนั้น เพราะคนตายไป

แต่ถ้าเราอยู่นี่จะโดนอะไรเล็กน้อยเราก็เจ็บเราก็ปวด เพราะสภาวะจิตของเรารับรู้  จิตนี้รับรู้อยู่ในร่างกายของเรา ก็ไอ้ตัวจิตที่มันฟุ้งซ่าน จิตที่มันหมายไปข้างนอก ตัวนี้ตัวสามารถย่นกลับเข้ามาได้ ทวนกระแสไง ทวนกระแสกลับมาด้วยตั้งสติ พอมีสติขึ้นมาแล้วก็กำหนดสัมมาสมาธิ กำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ ขึ้นมาเห็นไหม พุทโธนี่ พอมันสงบมากเข้า บ่อยครั้งเข้า ๆ ถึงเป็นสมาธิ จิตสงบบ่อยครั้ง ๆ จิตสงบแล้วมันก็คลายตัวออกมา สิ่งที่คลายตัวออกมา เราอาศัยเมฆรวมตัว ให้ฝนตก ตกมาในหัวใจของเรา ถ้าไม่อาศัยเมฆฝนตกขึ้นมา ความชุ่มฉ่ำ เป็นไปโดยปัจจัตตัง ใจดวงนั้นรู้เอง

ใจที่มีความสงบของใจ ก็มีความสุขในระดับนั้น ใจที่มีใช้ในขั้นของปัญญาเห็นไหม ปัญญาจะหมุนออกไปฟาดฟันกับกิเลส สิ่งที่ฟาดฟันกับกิเลสนี้ อาการของใจทั้งหมด ธรรมจักร มรรคเกิดอย่างนั้น มรรคในการประพฤติปฏิบัติไง เราว่ามรรคเห็นไหม เราเข้าใจว่า มรรคอยู่ที่ไหน ๆ พยายามหามรรคกัน แล้วก็ไปคาดหมายกัน ความดำริชอบเราก็ดำริชอบแล้ว ความเพียรชอบเราก็ชอบแล้ว ทำทุกอย่างเหมือนเลย เหมือนกับว่าเราเข้าใจว่ามันจะเป็นความจริง ความเพียรชอบเรานั่งอยู่แต่ใจไม่สงบ ใจมันไม่สงบขึ้นมามันจะเป็นความเพียรชอบไหม ถ้าความเพียรชอบ จิตมันสงบขึ้นมา  สัมมาสมาธิมันก็เกิด มรรคมันก็เกิด ความเพียรชอบทุกอย่างชอบ ชอบเพราะเราคาด พอเราคาดใจมันจะดิ้น มันจะดิ้นมากเลย

เด็กเล็กเด็กอ่อนนี้ ถ้าปล่อยให้มันเล่นตามประสาของมัน มันจะอยู่ในธรรมชาติ มันจะอยู่ของมันได้ ถ้าเราไปจับให้อยู่เข้าที่เข้าทาง เด็กนั้นจะงอแงจะร้องไห้ทันที  ใจก็เหมือนกัน การคาดการหมาย พออ่านพระไตรปิฎก สุตมยปัญญา เราทำได้ ๆ  แต่พอมานั่งมันจะเป็นไปอย่างนั้นไหม เราเดินจงกรมจะเป็นอย่างที่เราคิดไหม เราเริ่มจะจัดระเบียบให้จิตนี้ไง เด็กอ่อน จิตนี้เหมือนเด็กอ่อนๆ ที่มันเคยใจ  กิเลสคือความเคยใจในหัวใจ เคยใจ คือความสะดวกที่จะคิด เพราะความคิดนี้ไม่มีใครรู้กว่าเรา ความคิดของเราอยู่ในหัวใจของเรา คิดได้โดยตามธรรมชาติของมัน  มันจะคิดทำอย่างไร ธรรมชาติของมันเห็นไหม คิดได้อย่างนั้น แล้วพญามารอยู่ในหัวใจนี้ มันยุแหย่ มันยุแหย่ คนยุแหย่ไป คนเราจริตนิสัย คนรักสิ่งใด คนเล่นสิ่งใด เห็นไหม

อย่างเรื่องของโลกเขา คนสงวนสิ่งใด มีชมรมต่างๆ ชมรมที่เขาเล่นกัน ใครเข้าชมรมไหน ก็มีความชอบสิ่งนั้น ใจก็เหมือนกัน มันมีสภาวะแบบนี้ของมันขึ้นมา ถ้าสิ่งใดถูกใจขึ้นมา มันจะมีความพอใจ ถ้าสิ่งใดขัดใจขึ้นมา     ยิ่งของรักของสงวนนั้นถูกทำลายไป โดยสูญหายไป จะมีความกังวลใจมาก สิ่งที่กังวลใจมาก ใจนี้รับรู้สิ่งนั้น มันเป็นนามธรรม สิ่งที่เสียไปแล้ว ก็คือที่มันสูญสลายไปแล้ว มันเสียไปแล้ว จะไปเอาคืนมาก็ไม่ได้หรอก แต่ใจนี้ก็กังวลตลอดไป กังวลคิดไปอย่างนั้น มันเป็นสภาวะของมันอย่างนั้น ตัวนี้ ตัวที่ว่าสามารถทำได้ ตัวนี้จะเป็นตัวธรรมจักร ถ้าธรรมจักรเกิดที่นี่ จักรเกิดที่นี่ ย้อนกลับมา ปัญญาเกิดที่นี่ ปัญญาในศาสนาเรานี้

ปัญญาในการรอบรู้ในกองสังขาร กองสังขาร คือความคิด ความปรุง ความแต่ง   สังขารในขันธ์ ๕ กองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ เป็นกอง ๆ เกิดดับกับใจ ขันธ์ ๕ไม่ใช่จิต จิตนี้ไม่ใช่ขันธ์ ๕  แล้วปัญญารอบรู้เห็นไหม ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ในความคิด ในความปรุง ความแต่ง ความคิด ความปรุง ความแต่ง กิเลสมันพาคิดมาตลอด เรามีสติขึ้นมา เราก็ดัดแปลงความคิดของเราเห็นไหม นี่ปัญญาอบรมสมาธิ สิ่งที่ใช้ความคิดขึ้นมานี่ พลิกแพลงขึ้นมา ให้ย้อนกลับ ให้ใจย้อนกลับ ย้อนกลับเข้ามารอบรู้ในความคิดเห็นไหม รอบรู้ในกองสังขาร สิ่งที่คิดนี้เป็นประโยชน์ไหม ของที่เราเสียไปมันเสียไปแล้ว เราจะไปสงวนขนาดไหนมันก็เสียไปแล้ว 

ยิ่งคิดมันก็มีความเสียดายตลอดไป คิดขนาดไหน มันก็เป็นตัณหาความทะยานอยาก เป็นสมุทัย สิ่งที่เป็นสมุทัยยิ่งคิดยิ่งพยายามดัดแปลง ยิ่งพยายามจะต้องการ สมุทัยซ้อนเข้าไป ซ้อนเข้าไป นี้ยิ่งไปใหญ่เลย ยิ่งคิดใหญ่นั่นแหละ   ไปตามกระแสโลก เพราะขันธ์มันเกิดกับจิตเห็นไหม ขันธ์เกิดขึ้นมาคือสังขารที่มันคิด วิญญาณรับรู้ เห็นไหม เวทนาความพอใจ จะพอใจสิ่งนั้นแล้วแสวงหาออกไป พุ่งออกไปข้างนอก มันไม่ทวนกระแสกลับเข้ามา ถ้ามีสติย้ำอย่างนี้เข้ามา อันนี้เป็นกงจักร ถ้ามันคิดเข้ามามันก็เป็นกงจักร กงจักรนั้นเวลาหมุนเห็นไหม มันทำลายทุกๆ อย่างไป ทำลายแล้วแต่ หัวใจจนหวั่นไหวไปหมดเลย ทำลายสิ่งนี้ให้คลาดเคลื่อนออกไป คลาดเคลื่อนไปกับกงจักร คือ พญามาร มันเป็นจักร 

แต่ถ้าเป็นธรรมจักร จักรนี้จะย้อนกลับ ย้อนกลับขึ้นมาว่า อนาคต สิ่งที่เป็นอนาคตมันเป็นสิ่งที่เราคาดหมาย มันยังมาไม่ถึง อดีตมันล่วงมาแล้ว เราจะไปวิตกกังวลมันก็เป็นสิ่งที่มันล่วงมาแล้ว สิ่งที่ล่วงมาแล้วมันจะเป็นประโยชน์อะไรกับเรา เพราะเราแก้ไขไม่ได้ เห็นไหม เช่น ในการประพฤติปฏิบัตินี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราปฏิบัติง่ายเราทำได้คล่องแคล่ว นั่นแหละเราเคยสร้างคุณงามความดีมาแต่เบื้องหลัง เบื้องหลังของเราดี ปัจจุบันนี้ มันจะมีกำลังใจ แล้วมันจะทำสิ่งนี้ได้ ถ้าเบื้องหลังของเราแห้งแล้งเห็นไหม การประพฤติปฏิบัติของเราจะแห้งแล้ง

ถ้าเบื้องหลังของเราดี ครูบาอาจารย์อยู่ในป่า  พระนาคิตะ เดินจงกรมอยู่ในป่าเห็นไหม คิดถึงเรื่องของโลกเขา เห็นโลกเขามีความสุขกัน คิดถึง เทวดามาหยุดยั้งอยู่กลางอากาศ สิ่งที่โลกเขาหมุนเวียนไปนั้น เขาติดในกระแสโลก เขาก็ต้องเวียนไปในวัฏฏะ พระนาคิตะนั้นต่างหากถึงจะเป็นผู้ที่ประเสริฐจะออกจากโลกได้ เห็นไหม เตือนสติ นี่ผู้มีเบื้องหลัง สิ่งที่มีเบื้องหลังเขาต้องสร้างคุณงามความดีมาร่วมกันถึงมาเตือนสติ  พอเตือนสติ พระนาคิตะคืนนั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เพราะย้อนกลับ ย้อนทวนกระแส แต่เดิมนะ เริ่มต้นนะ ไปตามกระแสเห็นไหม ไปตามกระแสของโลกเขา ในนักขัตฤกษ์ ในเรื่องของโลกเขา

มหรสพต่างๆ มันเป็นความเพลิดเพลินไง เขามีความสุข คาดหมายได้แค่นั้นไง ว่าเขามีความสุข ตามที่เขาได้เสพสิ่งต่างๆ นั้น จะเป็นความสุข ความสุขของเขา หมุนออกไป ความสุขไปหาในการละเล่นต่างๆ  มันไปแล้วมันเสียพลังงานขนาดไหน และมันก็เป็นการเสพติด สิ่งที่เสพติดเห็นไหม มันติดไง การดูหนังดูละครต่างๆ มันจะติดไปตลอดไป ติดสิ่งนั้นไปแล้วมันเป็นประโยชน์ไหม มันก็เป็นเรื่องของโลกไปตลอดไป แต่ถ้าคนไม่เสพติดเห็นไหม สิ่งนั้นมันเป็นว่า เราถือศีล ๘ ก็ห้ามดูการละเล่นการดูหนังดูละครอยู่แล้ว สิ่งนั้นพระพุทธเจ้าบอกห้ามเลย ห้ามเพราะว่ามันฟูใจไง มันทำให้ใจนี้ฟูขึ้นมา ถ้าการกระทำของเขา การละเล่นของเขานั้นตรงกับชีวิตของเรานั้น ยิ่งบวกความเศร้าโศกเข้าไปซับซ้อนเข้าไปยิ่งมหาศาลเลย

นั่นนะมันเป็นการซ้ำเติมให้กับชีวิตนี้ติดข้องอยู่ในโลก โลกอยู่เป็นอย่างนั้น แต่ทวนกระแสกลับเข้ามาเห็นไหม ผู้ที่เดินจงกรมอยู่ไม่สนใจกับเขา ผู้ที่อยู่ในศีลในสัตย์ต่างๆ ผู้นี้ต่างหากประพฤติพรหมจรรย์ สิ่งที่ประพฤติพรรมจรรย์เห็นไหม มีการประพฤติปฏิบัติอยู่ มีโอกาส สิ่งที่ประพฤติปฏิบัตินั้นคือการสะสมอำนาจวาสนา สิ่งที่ว่า เบื้องหลังมันจะแห้งแล้งขนาดไหน มันก็เป็นความแห้งแล้งเพราะเราสร้างมาอย่างนี้ เราสร้างมาอย่างนี้แล้ว ปัจจุบันนี้เราพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา เราเอาแต่เด็ดยอดเลย ยอดของศาสนาพุทธ

ในหลักของศาสนา  ยอดของศาสนา คือ การประพฤติปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา สิ่งที่จะภาวนา  ภาวนาของเราขึ้นมา ภาวนาให้ถูกต้อง เห็นไหม แสวงหาสิ่งนี้ขึ้นมา ให้ธรรมเกิด ถ้าธรรมเกิดขึ้นมา สมาธิธรรมเกิดขึ้นมา พอใจ มีความสุขขึ้นมา แล้วพยายามตั้งสติขึ้นมา อันนี้เป็นหินทับหญ้า วัชพืชมันจะปกคลุมนะ มันจะปกคลุมของเรา พอมันปกคลุมขึ้นมา เคยได้สมาธิขึ้นมาแล้ว พอจิตสงบ สงบอย่างนี้ ตั้งจิตแล้วกำหนดพุทโธอย่างนี้ ตั้งจิตไว้ แล้วสงบขึ้นมา แล้วเราก็พยายามตั้งจิตอย่างนั้นอีก แล้วมันจะสงบไหม มันก็จะได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้ามันไม่ได้สิ่งนั้นเราก็ไม่ต้องไปเสียใจ เพราะว่าการประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ฝนมันจะตกทั่วทุกครั้งไปที่ก่อเมฆหรือ

เมฆก่อตัวขึ้นแล้ว มันก็ไม่เคยตกทุกครั้งเห็นไหม นี่ก็เหมือนกันในเมื่อเราประพฤติปฏิบัติ มันไม่สมควรแก่ธรรม มันไม่เป็นประโยชน์กับเรา เราก็ไม่ต้องไปกังวลใจ อันนี้มันเป็นการประพฤติปฏิบัติ อันนี้เป็นหน้าที่ของเรา เราพยายามสร้างเหตุของเราขึ้นมา ทำสมาธิ เดินจงกรมของเราขึ้นมา ทำอยู่ตลอดไป ทำขนาดที่ว่า พอสมควรแก่ธรรมฝนมันต้องตก สิ่งที่ฝนมันต้องตก เมฆหมอกขึ้นมา ถ้ามันก่อตัวขึ้นมา ฝนมันตกขึ้นมา ให้ตกขึ้นมาในหัวใจ ตกลงมาในหัวใจ ให้ดินเราชุ่มชื้นขึ้นมา ชุ่มชื้นเพราะการประพฤติปฏิบัติของเรา เกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ครั้งสองครั้ง จนจิตนี้เป็นสมาธิตั้งมั่น

สิ่งที่ตั้งมั่น มันเป็นเอกัคคตารมณ์ เห็นไหมถ้าเราตั้งมั่นเราพยายามพิจารณาต่างๆ เราใคร่ครวญต่างๆ มันจะตัดรูป รส กลิ่น เสียง ได้ ธรรมดาจิตของเราไม่สงบเพราะมันติดในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง เห็นไหม ในกลิ่นต่างๆ กลิ่นที่พอใจอยากได้ดมกลิ่นที่พอใจ กลิ่นที่ไม่พอใจ จะปฏิเสธสิ่งที่ไม่พอใจ ในกลิ่นต่างๆ ในรสต่างๆ ในเสียงต่างๆ  บ่วงของมาร  จิตติดอย่างนี้ ติดโดยธรรมชาติ  เพราะไม่มีใครฝึกฝน จิตเด็กๆ เป็นอย่างนี้ มันติดอย่างนี้ มันถึงหมุนออกไปตามธรรมชาติของมัน แล้วเราตั้งใจทำความสงบเข้ามาจนเป็นสัมมาสมาธิจนตั้งมั่นเห็นไหม พอตั้งมั่น สิ่งนี้จะขาดได้เลย ขาดออกไป  เป็นกัลยาณปุถุชน

เราเป็นปุถุชนคนหนาไปด้วยกิเลส ปุถุชนความคิดขึ้นมานี่ มันเป็นเรื่องของฟ้าร้อง เรื่องของสิ่งที่ว่าฟ้าร้องแล้วฝนไม่เคยตก เพราะเราคิดของเรา ปุถุชนควบคุมใจไม่ได้ ถ้าเราพยายามทำความสงบของใจจนจิตตั้งมั่นเห็นไหม เป็นกัลยาณปุถุชน ถึงเป็นปุถุชนก็จริงอยู่ แต่จะเป็นผู้เดินโสดาปัตติมรรค ผู้ที่เดินโสดาปัตติมรรค เพราะจิตมันตั้งมั่นขึ้นมา มันเป็นธรรมขึ้นมา เป็นสัมมาสมาธินี้ จักรอันนี้จะเกิดขึ้นมาได้ ธรรมจักรจะเกิด เกิดตรงนี้ไง เกิดตรงที่ว่า จิตของเราก็ตั้งมั่นด้วย แล้วงานของเราก็ชอบด้วย  ชอบในการวิปัสสนา ในกาย ในจิต ในธรรม  สิ่งที่ในกาย ในจิต ในธรรม นี้ เราเกิดขึ้นมาได้ มันย้อนกลับเข้ามา ถ้าย้อนกลับเข้ามา จิต ถ้าธรรมมันรวมตัวขึ้นมาเห็นไหม  ฟ้ามันจะผ่า

ธรรมจะผ่าลงไปที่กิเลส ถ้าเราทำสมควรแก่ธรรม กัลยาณปุถุชนนี้ มันตั้งขึ้นมาแล้ว มันเดินโสดาปัตติมรรคแล้ว บุคคล ๘ จำพวก เราเป็นบุคคลที่ ๑ เลย ถ้าเราเดินโสดาปัตติมรรค สิ่งที่เป็นโสดาปัตติมรรค เพราะความเห็นของใจไม่เหมือนกับโลกแล้ว โลกหมุนออกไปตามกระแสของโลกแต่อันนี้มันหมุนกลับ เพราะมันมีความสุขของใจ เพราะใจของเรา ดินของเรามันไม่ใช่ดินแห้งแล้ง ดินของเรามันชุ่มไปด้วยฝนเห็นไหม ดินของเราควรแก่การงาน สิ่งที่ควรแก่การงานนี้ จิตนี้จะรู้โดยธรรมชาติเลย รู้โดยจิต โดยปัจจัตตังเลย ว่าอันนี้มันเป็นสัมมาสมาธิ อันนี้มันเป็นความตั้งมั่น ตั้งมั่นแล้วจักรมันหมุนเลย หมุนเข้ามาพอจับงานได้ ได้เห็นกาย เห็นจิต

ถ้าเห็นจิต จิตนี้เป็นขันธ์ ความรู้สึกอันนี้มันจะทั้งหมดเลย มันเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมตัวขึ้นไปมันจะหมุนออกไป ถ้าปัญญามันทันขึ้นมา จับความรู้สึก จับจิตของเรา จับไว้ให้ก่อน ถ้าจับได้แล้ว แยกออกไปแยกออกมาใช้ปัญญาแยกแยะไง อันไหนเป็นสัญญา อันไหนเป็นเวทนา อันไหนเป็นสังขาร มันจะเห็นความแยกออกไป เห็นไหม   นี่ ๕ กอง กองของรูป กองของเวทนา กองของสัญญา กองของสังขาร กองของวิญญาณ มันเป็นกอง เป็นกองแล้วมันก็หมุนไป มันก็เป็นความรู้สึกของมัน หมุนออกไป หมุนออกไป  ถ้าจักรมันเกิดมันเลาะสิ่งนี้เข้ามา เลาะเข้ามา จักรมันฟันเข้าไปนี่เห็นไหม ฟ้าผ่า ผ่าแล้วคนนั้นไม่ตายเห็นไหม ฟ้าผ่ามาไฟนั้นไม่แรง คนนั้นก็ไม่ตาย แค่เจ็บ ส่งโรงพยาบาลก็หาย

แต่ถ้าฟ้าผ่าแรง ไฟนั้นมันแรง คนนั้นจะต้องตาย  กิเลสก็เหมือนกัน การแยกจิตออกมาอย่างนี้ มันแยกออกไป ฟ้าผ่าแล้ว ครั้งแล้วครั้งเล่า มันผ่าจนถึงว่าจิตนี้แยกออกเป็นธรรมชาติขาดออกไป ขันธ์เป็นขันธ์ จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แยกออกจากกัน  ธรรมผ่าลงไปที่กิเลส ถ้าธรรมผ่าลงไปที่กิเลสแล้ว มันจะเป็นอกุปปธรรม สิ่งนี้เป็นธรรมที่ว่าในหัวใจของสัตว์โลกปรารถนา จากเราเป็นปุถุชนเราจะหมุนไปตามวัฏฏะ เกือบต้องตกอยู่ในอำนาจของพญามาร มารนี้จะเวียนตายเวียนเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด จะต้องหมุนไปวัฏฏะนี้หมุนไป ไม่มีต้นไม่มีปลาย แต่ถ้าเป็นอกุปปธรรมนะ ไม่อยู่ในใต้ของอำนาจแล้ว เพราะอย่างมากอีก ๗ ชาติเท่านั้นอย่างมากนะ

แต่ถ้าอย่างปัจจุบันนี้ ย้อนกลับมาประพฤติปฏิบัตินี่ จะต้องทำสิ่งนี้ เพราะคนเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ มีเหตุมีผล มีการประพฤติปฏิบัติรู้ขึ้นมาไง   คนเราไม่รู้ในการจะทำอะไรนี่ ทำโดยการด้นเดา ทำไปโดยได้ประโยชน์ไม่ได้ประโยชน์ เราก็ต้องทำของเราไป แต่ถ้ารู้แล้วนี่การกระทำของเราขึ้นมานี่ มันจะเป็นสิ่งที่ว่าเป็นความชำนาญ เป็นความชำนาญนี่ย้อนกลับเข้ามา   คนเราค้าขายแล้วมีผลกำไร มันอยากได้ผลกำไร ได้ประโยชน์ อันนั้นมหาศาลเลย ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ จิตนี้ได้ผลขึ้นมาแล้วนี้ มันอยากได้มาก อยากได้มากทำอย่างไร  ต้องทำความสงบของใจเหมือนกัน ใจนี้ต้องสงบขึ้นไป สิ่งที่ต้องสงบขึ้นไป เพื่อเข้าไปจับ เห็นไหม

กายนอก กายใน กายในกาย นี้ เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป นี่เป็นโวหารก็ได้ แต่ถ้าเป็นความจริงก็ได้ กายนอกเห็นไหม เราพิจารณากายของเรานี่ เราละกายของเราขึ้นไป กายในขึ้นมานี่ มันเป็นธาตุขันธ์ พิจารณากายมันก็จับกายอันนั้น วิปัสสนาซ้ำลงไป ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นธรรมขึ้นมานี่ มันจะแยกออกเห็นไหม เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ  มันจะคืนตัวมันเอง แล้วจิตมันจะปล่อยออกมา ปล่อยออกมา อันนั้นเป็นวิปัสสนา ถ้า วิปัสสนาเกิดขึ้นมานั้นเป็นงาน นั้นเป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมนะ  แต่เราทำบ่อยครั้งเข้า ๆ นี่ ใช้งานพลังงานออกไป พอพลังงานออกไปมันก็จะเป็นโลก สิ่งที่เป็นโลกคือวัชพืชมันปกคลุมเห็นไหม กิเลสนี้มันดีดดิ้น มันจะต้องรักษาสงวนตัวมันเองตลอดไป

มันจะต้องทำให้การประพฤติปฏิบัติของเรานี่ไขว้เขวออกไป ออกนอกทางตลอดไป แล้วถ้าเราอยากรีบเร่งเห็นไหม  ความเร่งของเรา คือถ้าใช้ปัญญาแล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเรา เราใช้ปัญญาตลอดไปนี่ เราไม่มีความสงบของใจ พลังงานของเราไม่พอนี่ มันจะฟั่นเฝือน ต้องย้อนกลับเข้ามาทำความสงบของใจ ทำความสงบของใจ คือ ปล่อยให้เป็นสมถกรรมฐาน สิ่งที่เป็นสมถกรรมฐาน คือ การพักใจ ใจนี้ได้พักตัวแล้ว พักออกมานี่ กำหนด พุทโธ พุทโธ พักเข้ามา  เราออกมานี้แล้วก็เข้าไปต่อสู้ใหม่ สิ่งที่ต่อสู้ใหม่นะ ปัญญาจะแยกแยะออกไป ใช้อุบายใหม่ๆ อุบายต้องเกิดขึ้นใหม่ๆ เป็นปัจจุบันธรรม

สิ่งที่เป็นปัจจุบันเห็นไหม มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนั้นมันถึงจะเป็นประโยชน์ สิ่งที่การคาดการหมายนี้ มันเป็นสัญญา แต่ถ้าเป็นสัญญานี่ เป็นของครูบาอาจารย์นี่เห็นไหม เราศึกษาธรรมมา เราฟังธรรมมา ถ้าครูบาอาจารย์เคยบอกไว้อย่างนั้น ถ้ามันเกิดขึ้นมา       แว็บขึ้นมาในปัจจุบันนั้น อันนั้นคือปัจจุบัน อันนั้นไม่ใช่สัญญา สัญญาคือการคาดการหมาย การเทียบเคียง แต่อันนี้มันเกิดขึ้นมาเห็นไหม เกิดขึ้นมาจากปัจจุบัน เกิดขึ้นมาจากนั้น มันจะตรงก็ให้มันตรง ถ้ามันตรงคือนั้นเป็นประโยชน์ นั้นคือปัจจุบัน ถ้ามันไม่ตรง เราก็ต้องดูอุบายของเราให้มันเป็นปัจจุบัน สิ่งที่เป็นปัจจุบันนั้นคือธรรม ธรรมนั้นจะผ่าลงไปที่กิเลสอีก จะต้องผ่าลงไปที่กิเลส ต้องมรรคสามัคคีตลอดไป

ถ้ามรรคสามัคคี มันจะรวมตัว แล้วมันสมุจเฉทปหาน ขาดออกไป กายเป็นกายจิตเป็นจิต นี่แยกออกจากกัน สิ่งที่แยกออกจากกันนี่เห็นไหม ธรรมเกิดขึ้นในหัวใจอีกชั้นหนึ่ง สิ่งที่ธรรมเกิดขึ้นจากหัวใจอีกชั้นหนึ่ง สิ่งที่สูงขึ้นไป มันจะมีความสุขมากขึ้นไป เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ความสุขเกิดขึ้นมาจากความทุกข์ ความทุกข์ในการประพฤติปฏิบัตินี้ทุกข์มาก เห็นไหม งานของโลกเขา เขาเหนื่อยเขาพักได้  แต่งานของใจ ถ้าเราเหนื่อยขึ้นมา เราพักขึ้นมานี่ กิเลสมันทับถมทันที สิ่งที่กิเลสทับถมเห็นไหม เราจะเหนื่อย เราจะท้อถอยขนาดไหน เราก็ต้องสร้างความเพียรของเราไว้

ถ้าเรามีความเพียรของเรา คือเรายันไว้ไง ยันกิเลสนี้ไม่ให้ปกคลุมจนเราหาทางเดินออกไม่ได้ ถ้าเราท้อเราถอย ถอยจนสุดกู่เลยนะ แล้วพอจิตมันเสื่อมหมดเลยนะ จะเริ่มต้นใหม่ สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เป็นความทุกข์นะ เริ่มต้นจะเริ่มต้นจากตรงไหน เริ่มต้นจะทำจากอะไร มันจะเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ แต่อันนี้ มันเป็นอกุปป มันมีอยู่แล้ว มันไม่ถอยไปขนาดนั้น ถ้ามันถอยขึ้นมา มันก็เป็นปุถุชนไง แต่นี้เวลาจิตกับกายมันแยกออกจากกัน ออกจากกันนี่มันเป็นสิ่งที่ว่า มันปล่อยวางกิเลสไปอีกชั้นหนึ่งแล้ว มันจะเริ่มออกไป มันจะเวิ้งว้าง มันจะว่างหมดนะ สิ่งที่ว่างหมด ใจมันจะว่าง มันจะปล่อยวาง ปล่อยวางมีความว่างมาก มีความสุขมาก ติดเหมือนกัน ถ้าติดก็ต้องทำให้หลุดได้ ถ้าเราอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ อยู่ใกล้ธรรมเราพยายามฝึกฝนของเรานี่มันหาได้ง่าย พยายามค้นคว้าเข้าไป พยายามหา  มีความสนใจ มีความจงใจ มีความสังเกตดู ใจมันว่างนี่มันมีอะไรขัดใจไหม ถ้ามันมีความขัดใจ มีความยอกใจนี่ อันนั้นคือตัวกิเลส

ถ้าเราไม่เห็นมัน เราก็ยังจับทำงานไม่ได้ นั่น ธรรมมันถึงยังไม่เป็นธรรมจักร ถ้าเราจับตรงนี้ได้เห็นไหม กายนอก กายใน กายในกาย ตัวนี้เป็นกายอสุภะ สิ่งที่เป็นอสุภะนี้ มันฝังอยู่ที่ใจโดยสัญชาตญาณสัตว์ในป่าไม่มีใครสอนมัน มันก็สืบพันธุ์ได้ เทวดา อินทร์ พรหม ก็สืบพันธุ์ของเขาไป เป็นเรื่องของกามราคะ สิ่งที่เรื่องของกามมันเป็นอย่างนั้นมันก็หมุนไป โดยวัฏฏะของมันอย่างนั้น สิ่งนั้นเป็นไป นี่สัญชาตญาณเป็นอยู่อย่างนี้ มันฝังอยู่ที่ใจ ถ้าจับใจตัวนี้ได้ มันจะเห็นการกระเพื่อมของมัน เห็นไหม นั่น กามราคะอยู่ตรงนี้ สิ่งที่อยู่ตรงนี้ธรรมจักรมันจะรุนแรงมากตรงนี้ รุนแรงมากเพราะปัญญามันหนักหน่วง สิ่งที่หนักหน่วงเห็นไหม กามภพ ในวัฏฏะหมุนไปนี่ ในสามภพนี่ มันหมุนไปตลอดไป รูปภพ อรูปภพ นี่เห็นไหม 

กามภพ  รูปภพ  อรูปภพ มันเป็นไป นี้ก็เหมือนกัน  จะทำลายถึงภพชาติ สิ่งที่จะไม่เกิดในวัฏฏะหมดไปส่วนหนึ่งเลย  ในกามภพจะขาดออกไป ภพนี่มันอยู่ที่ไหน ภพข้างนอกนี่มันเป็นแผ่นดิน เป็นที่อยู่อาศัย แต่ภพของใจนี้สำคัญกว่า เพราะสิ่งที่สำคัญกว่า จิตปฏิสนธินี่เห็นไหม ปฏิสนธิจิต จิตนี้ไปเกิด จิตนี้ไปแสวงหาสิ่งต่างๆ ถ้า สิ่งนี้มันเข้ากันไม่ได้ มันไม่เสมอกับกามภพ มันจะไปเกิดได้อย่างไร มันต้องเสมอกัน สิ่งที่เสมอกัน กรรมเสมอกัน บุญกุศลเสมอกัน จะไปเกิดสภาวะแบบนั้น มันจะไปตามอำนาจของมัน แต่ถ้าเราจับตรงนี้ได้ เราจับตรงนี้ เห็นไหม เราจะย้อนกลับเข้ามานี่ เราจะเห็นฐานของมัน นี้เป็นอสุภะ

สิ่งที่เป็นอสุภะนี้ ปัญญาจะเริ่มใคร่ครวญ งานจะชอบ ชอบอย่างนั้น ฝนจะตกมีความชุ่มชื่น มีความปล่อยวาง เวลามันจะปล่อยวางเป็นขั้นเป็นตอนเข้ามา ปล่อยวาง ปล่อยวาง ปล่อยวาง เพราะปัญญาใคร่ครวญไป ปัญญาเลาะไปตลอด ปัญญาเลาะไปด้วยพร้อมกับสัมมาสมาธิ สมาธินี้หนุนหลังไป ถ้าสมาธิหนุนหลังไปจะเป็นปัญญา ถ้าพลังงานอ่อนไป สมาธิอ่อนไปจะเป็นสัญญา จะเป็นสัญญา มันเป็นการก้าวเดินไป แล้วเราไม่ทะลุ วิปัสสนาไป ไม่ผ่าน ไม่ผ่านเข้าไป มันจะใช้แรงงานมาก และจะเหนื่อยมาก ย้อนกลับมาเลย ปล่อย แต่มันจะปล่อยไม่ได้เพราะ เวลาปัญญาตรงนี้ปัญญามันแรง ความรุนแรงของมันมันจะยึดการวิปัสสนา อย่างนั้นไป ต้องดึงกลับ ด้วยพุทโธ พุทโธ ดึงกลับออกมาเลย ให้มันสงบให้ได้ ให้มันปล่อยวางงานนั้นก่อน แล้วเดี๋ยวไปวิปัสสนาใหม่ สิ่งที่วิปัสสนาใหม่นี้ มันจะหมุนออกไป หมุนออกไปทำลายสิ่งนั้น ทำลายแล้วก็ปล่อย ทำลายแล้วก็ปล่อยนั่น ถ้าถูกต้องนี้เป็นปัญญา นี้เป็นธรรมจักร

แต่ถ้ามันเป็นสัญญามันไม่ปล่อย มันต่อสู้แล้วมันมีการแบกหาม มันมีความหนักหน่วงของใจมาก ใจนี้จะหนักหน่วงเห็นไหม เวลาพบทุกข์อย่างนี้ เวลาวิปัสสนาแล้วไม่สมกับความจริง ความจริงของเรามันไม่เป็นธรรมตามความเป็นจริง  เราจะไม่ได้ผลตามความเป็นจริง ผลของเราคือความคาดความหมาย สิ่งที่ความคาดความหมาย ทำให้ใจนี้อ่อนแอ ใจนี้ท้อถอย มันต้องเป็นอย่างนั้น กิเลสมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว มันต้องทำให้เราท้อถอย ทำให้เราน้อยใจ เห็นไหม  เป็นคนไม่มีอำนาจ เป็นคนไม่มีวาสนา ไม่มีอำนาจไม่มีวาสนาจะปฏิบัติขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งที่ปฏิบัติขึ้นมานี้ เพราะเอาอำนาจวาสนาทุ่มลงไปทั้งตัวเห็นไหม  ทุ่มลงไป

เวลาปฏิบัติทุ่มจริงๆ นะ เวลาเดินจงกรมนี่ เดินตลอดไป จะอะไรเกิดขึ้นก็ช่างไม่สนใจ เรื่องวันเวลานี้เอาไว้ข้างหลังและมันจะเป็นการชุลมุนกันตลอดไป ปัญญามันจะต่อสู้กับกิเลส หมุนเวียนอย่างนั้นตลอดไป นั่นล่ะ งานในการประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติเพราะมีความตั้งใจ เราตั้งใจของเรา เราเห็นผลประโยชน์ของเรา เราถึงทำของเราได้ ถ้าเราไม่เห็นผลประโยชน์ของเรา เราจะคิดขนาดนั้นไหม เราจะทำขนาดนั้นไหม เสี่ยง แม้แต่ชีวิต ชีวิตนี้เสี่ยงเลย เสี่ยงให้ได้เลย ตายให้มันตายไป ถ้ามันกิเลสไม่ตาย เราต้องตาย แต่สุดท้ายแล้วกิเลสมันหลอก เวลาเราอดนอนผ่อนอาหาร การผ่อนอาหารผ่อนให้ธาตุขันธ์ นี้มันเบาตัว นี้เป็นการลดทอนกิเลสให้มันเบาตัวลง

ถ้าเราสมบูรณ์ เห็นไหม เรามีความอิ่มหนำสำราญขึ้นมานี่ มันมีความคิด คิดไปโดยธรรมชาติของมัน คิดได้โดยรวดเร็วเลย อันนี้ก็เหมือนกัน อยู่ในขั้นของกามราคะนะมันคิดของมันได้ตลอดไป มันเป็นตัวมันเองโดยสัญชาตญาณเลย ปุถุชนความคิดของเรานี่ มันยังมีการละอาย มีความคิด มีความกลบเกลื่อนไว้ แต่เวลาเข้าไปถึงกามราคะไม่ต้องกลบเกลื่อน มันแสดงตัวตลอด ถ้าเข้าทางจงกรมเข้าสมาธินี่ กามราคะมันจะปั่นป่วนใจทันทีเลย มันจะปั่นป่วน แรงของมันจะปั่นป่วนให้เราล้มลุกคลุกคลานจะล้มลุกคลุกคลานไปตามประสามันนะ งงไปหมด งงมาก ว่าเราจะทำอย่างไร ถึงจะต่อสู้กับสิ่งนี้ได้ เราจะทำอย่างไรถึงจะยับยั้งไม่ให้มันมีอำนาจเหนือเราได้ นี่มันทำไม่ถูก มันก็ล้มลุกคลุกคลานไป ต้องต่อสู้กันตลอด ต่อสู้อย่างนั้นไป ล้มลุกคลุกคลานกันไปก่อน จนถึงว่าเราทำความสุขของใจบ้าง ความสุขของใจ แล้วย้อนกลับไปวิปัสสนาใหม่ วิปัสสนาต่อสู้ใหม่ เพราะเรามีกำลังแล้ว มันจะยันกันได้

สิ่งที่ยันกันเห็นไหม มันเริ่มอ่อนตัวลงอ่อนตัวลงนี่ พิจารณาไปนี่พิจารณาไป ขันธ์นี้เป็นขันธ์อันละเอียด ถ้าพิจารณากายนี้เป็นอสุภะ พิจารณาจิตนี่ ขันธ์ ๕ ขันธ์อันละเอียด มันอยู่ที่ขั้นนี้ ถ้ามันขาดไปนี่ขันธ์กับจิตจะเห็นกันโดยธรรมชาติ คนเราเห็นไหม เวลาเราศึกษาธรรมนี่เห็นไหม ขันธ์ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ มันจะเป็นการศึกษากันเฉยๆ มันไม่เห็นตามความเป็นจริง เวลาขันธ์ขาดขึ้นมานี่ ขาดมาจากข้างนอก เห็นขาดมาเป็นชั้นๆ เข้าไป เวลามันขาดตรงนี้ มันจะเห็นผลชัดเจน ชัดเจนว่าขันธ์นี้ไม่ใช่จิต อารมณ์ที่ความมันเกิดขึ้นมานี่ มันเกิดจากตรงนี้ไง เกิดจาก อวิชชา ปัจจยา สังขารา

จิตนี้เป็นความไม่รู้ อวิชชานี้ไม่รู้ส่งต่อออกมาตรงนี้ เพราะจิตนี้ อวิชชาเป็นความไม่รู้ เป็นพลังงานตัวหนึ่งเห็นไหม พลังงานของมาร สิ่งที่เป็นพลังงานของมารก็อาศัยขันธ์นี้ออกไปหากินไง แล้วหากินกับขันธ์นี้  กามราคะนี่ เป็นที่หากิน เป็นที่สืบต่อของจิตมหาศาล สิ่งใดๆ ในโลกนี้ การแสวงหาต่างๆ ก็มาเพื่อตรงนี้ไง มันมีตรงนี้เพราะสิ่งนี้เราแสวงหามา เราสะสมมาเพื่อความสุขความสบาย เพื่อความสะดวกของตัว เพราะเหตุนี้ไง ถ้าตรงนี้ขาดออกไปแล้วนะ สิ่งนี้ไม่มีแล้ว สิ่งต่างๆ นี้ เป็นแต่เครื่องอยู่อาศัย พรหมจรรย์ เห็นไหม สิ่งที่เป็นพรหมจรรย์    พรหมจรรย์ส่วนหนึ่งเพราะมันเป็นอวิชชา มันไม่มีกามราคะ

ส่วนกามราคะนี่เป็นนางตัณหา นางอรดีนี่ เป็นลูกของพญามาร ตรงนี้พยายามพิจารณา ทำความเข้าใจกับมัน ทำความเข้าใจโดยไม่ต้องรีบด่วน พยายามใคร่ครวญและใช้ความรอบคอบของเรา ความรอบคอบของเรามันจะเป็นงานนะ  มรรคมันจะหมุนโดยธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของมันถ้ามรรคมันเกิดขึ้นมานี่  นั่นนะธรรมผ่ากิเลส ถ้าธรรมผ่ากิเลส  ครืน ในหัวใจนะ ขันธ์นี่ขาดออกไปเลย จิตนี่หลุดออกไปว่างหมดเลยนะ นั่นนะ ธรรมผ่ากิเลสโดยสัจธรรม สัจธรรมเกิดขึ้นมาด้วยความเพียรของเรา การแสวงหา การสะสมขึ้นมา 

การที่เราสะสมขึ้นมานี่ มันสะสมมาก เมฆหมอกเวลามันจะมารวมตัวกัน กว่าจะเป็นฝนตกลงมาได้ มันต้องรวมตัว พอน้ำหนักของมัน มันถึงจะเป็นไป อันนี้ก็เหมือนกัน เราใคร่ครวญของเราตลอดไปนี่ เราสะสมธรรมไง สะสมปัญญา สะสมความคิดความรู้สึกของเรา นี้มันเป็นภายใน สะสม วิปัสสนาครั้งหนึ่ง  มันก็ปล่อยไปครั้งหนึ่ง มันไม่ขาด เพราะว่า กำลังของกิเลสมันยังมีอำนาจอยู่ กำลังของกิเลสมันเหนือกว่ามันยังสงวนตัวมันไว้ แต่ถ้าธรรมมันรวมตัวกันด้วยมัชฌิมาปฏิปทา มันจะขาดออกไปนะ แล้วขาดออกไป นี่ฝึกซ้อมได้

การฝึกซ้อมในหัวใจของเรา จะต้องฝึกซ้อมเพราะมันมีเศษ เศษส่วนของขันธ์ เศษส่วนของความรู้สึกเห็นไหม พระอนาคา ๕ ชั้น สิ่งที่มันเป็น ๕ ชั้นมันละเอียดตรงนี้ไง ตรงนี้ ถ้าเราวิปัสสนาเข้าไปอีก มันจะปล่อยวางได้ มันจะรวมใหญ่ปล่อยวาง ปล่อยวาง ปล่อยวาง จนกว่าจับสิ่งใดๆ ไม่ได้ มันไม่มีสิ่งใดเลย  มันจะว่างหมดเลย นี่ติด สิ่งที่ติด ติดเพราะความว่ามันว่างมันไม่มีงานทำแล้ว งานเราทำจบสิ้นแล้ว มันก็พอใจ นี่ความว่างอย่างนี้ต้องรักษา ความว่างอย่างนี้มันต้องสงวนรักษา เพราะมันมี อวิชชา ปัจจยา สังขารา สิ่งที่เป็น อวิชชา ปัจจยา สังขารา เห็นไหม ความที่มันไม่รู้ มันเป็นตัวกิเลส  สิ่งที่ไม่รู้มันก็ต้องมีความสงสัยในตัวมันเอง

แต่ธรรมเห็นไหม ธรรมเป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่ถึงหัวใจของเรา ถ้ายังไม่เกิดขึ้นในหัวใจของเรา เราก็จะไม่รู้สิ่งนี้ ถ้าเราไม่รู้สิ่งนี้เราก็โดนกิเลสมันหลอกเห็นไหม อวิชชาความไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม มันจะสงวนรักษาไว้ ต้องสงวนรักษา ความว่างแบบสงวนรักษาเห็นไหม  โลกนี้ว่างหมดเลย แต่ตัวเองอยู่ที่ไหน สิ่งที่เป็นตัวตนของเรานี่ มันอยู่ตรงนี้  มันเห็นตัวอื่นว่างหมดเลย แล้วมันสงวนตัวมันเองไว้ จะค้นคว้าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยากมาก ยากเพราะกิเลสมันละเอียดกว่า พญามาร เป็นปู่ย่าตายายของมาร มันมีความชำนาญเห็นไหม

มันจะล่อหลอกให้เราเข้าใจว่า ตรงนี้เป็นธรรม ตรงนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรมว่างแล้วมีความสุขแล้วเป็นธรรม แต่ในเมื่อเป็นธรรมขึ้นมาทำไมมีความเฉา ทำไมมีความเสื่อมออกไป มีความเสื่อมของมัน มันมีความเฉา มีความหวั่นไหวในหัวใจ หัวใจนั้นหวั่นไหว เพราะมันเป็นอวิชชา มันเป็นมาร มารเป็นกิเลสเห็นไหม สิ่งที่เป็นกิเลส แต่กิเลสอย่างละเอียดนะ กิเลสในกามราคะนี้มันรุนแรง มันทำให้ใจเราฟุ้งซ่าน ทำให้ใจเราต้องต่อสู้ เหมือนน้ำป่า น้ำป่าที่มันโจนลงมาจากเขา เราต่อสู้กับสิ่งนั้นมา เราเห็นสิ่งนั้น เราก็คาดหมายว่า สิ่งนี้ จะต้องไปทำแบบนั้น สิ่งที่ทำแบบนั้นเราใช้เครื่องมือที่หยาบไปจับของละเอียด  เราถึงจับไม่เห็นของละเอียด สิ่งที่เป็นของละเอียดต้องเป็นเครื่องมือที่ละเอียด จึงจะเข้าไปจับของที่ละเอียดได้ เครื่องมือหยาบๆ เห็นไหมเราใช้ขันธ์ ใช้ความคิด ใช้สังขารขันธ์ในการคิดการปรุงการแต่ง

เราใคร่ครวญสิ่งนี้มา สิ่งนี้เราใช้มาตลอดแล้วเราจะใช้สิ่งนั้นไป มันไม่สมควรกัน มันก็จับต้องสิ่งนั้นไม่ได้ มันก็เลยหลบไป หลบซ่อนตัวอยู่ในตัวมันเอง มันปล่อยวางเข้ามาทั้งหมดเห็นไหม ปล่อยวางขันธ์ ปล่อยวางสิ่งที่เป็นเครื่องมือออกไปหากิน ปล่อยวางเข้ามาด้วยอำนาจของธรรม ธรรมผ่ากิเลส ผ่าสิ่งที่ว่าผ่าแล้วมันสืบต่อกันไม่ได้ ถ้าผ่ากิเลสกิเลสออกจากใจเป็นชั้นๆ เป็นตอน มันสืบต่อกันไม่ได้ สิ่งที่มันออกไปหาเหยื่อนั้น มันก็โดนตัดทอนไป ตัดทอนไป มันก็ถอยร่นเข้ามา ถอยร่นเข้าไปเป็นตัวของมันเอง แล้วก็หลบอยู่ที่นั่นแล้วอาศัยสิ่งนั้นไป ให้เราหมุนเวียนหมุนด้วยความงงของเรา

เราจะงงกับสิ่งที่ว่าเราจะทำอย่างไร จนกว่าเราจับต้องสิ่งนี้ได้ แล้วย้อนกลับขึ้นไป จะเห็นตัวตอของจิต สิ่งนี้เป็นตอ เป็นตัวอวิชชา  เป็นตัวพญามาร แล้วปัญญาที่จะใคร่ครวญกับมันนั้น เป็นปัญญาญาณ ญาณอันละเอียดนี้จะใคร่ครวญกับสิ่งนี้ จะต้องใคร่ครวญกันไป อยู่ตรงนั้นเห็นไหม ปัญญาอย่างหยาบ เป็นเครื่องต่อสู้อย่างหยาบ ธรรมอย่างหยาบก็เป็นธรรมอย่างหยาบ ธรรมอย่างหยาบขณะต่อสู้ขึ้นมา เรายังต่อสู้เกือบเป็นเกือบตาย เอาชีวิตเข้าแลกมาตลอด แล้วธรรมอย่างละเอียดนี้มันละเอียดขนาดไหน เราต้องใช้ความละเอียดรอบคอบเห็นไหม ถึงว่าเป็นสิ่งที่ว่า ละเอียดอ่อนมาก สิ่งที่ละเอียดอ่อนในหัวใจของเราจะเห็นคุณค่าของใจอย่างนี้ไง

เวลาใจมันปล่อยวางสิ่งต่างๆ เข้ามานี่ มันปล่อยวางด้วยปัญญาญาณที่มันต่อสู้แล้วมันปล่อยวางเข้ามา กับตัวมันเองจะปล่อยอย่างไรนี่ ต่อสู้กันไปจนถึงที่สุด มันปล่อยวางได้ มันขาดออกไปเห็นไหม มันพลิกออกไป  สิ่งที่มันปล่อยวางต่างๆ เข้ามา ปล่อยวางขันธ์เข้ามานี้ ใจมันก็เป็นตัวมันเอง มันรับรู้มาตลอดเลย แต่ตรงนี้แล้วทำลายหมด สิ่งที่ทำลายหมด เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงบอกว่า บุคคล ๘ จำพวก เห็นไหม มรรค ๔ ผล ๔  นะ นี่ ๘ จำพวก นี้เป็นผู้ที่ก้าวเดิน เป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สิ่งที่เป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา คือ ธรรมที่ก่อตัว      เมฆหมอกต้องก่อตัวต้องสะสมขึ้นมา แล้วก่อตัวจนเกิดฝนฟ้า เกิดความเป็นจริง แล้วต้องผ่าลงไปที่กิเลส ปล่อยออกไป มรรค ๔ ผล ๔ ทำไมต้องเป็นนิพพาน ๑ ล่ะ

เพราะ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา นี้กาลสภาวะของมันนี่เห็นไหม มันรวมตัวขึ้นมานี่มันสัมปยุตเข้าไป แล้วมันวิปยุตคลายออกมานี่จิตดวงนี้รับรู้เป็นชั้นๆ ขึ้นมา จนถึงที่สุดแล้ว ทำลายตัวมันเอง ตัวมันเองก็ต้องทำลาย มันถึงเป็นนิพพาน ๑ เห็นไหม  ถึงนิพพานแล้วจบ จบในการสมมุติ ในการเป็นธรรม สิ่งที่เป็นสภาวธรรมนี้ เป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมที่ในการประพฤติปฏิบัติ ธรรมในการที่ว่าครูบาอาจารย์สั่งสอนมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาก็แสดงธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา ทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะให้เราก้าวเดิน สิ่งนี้เป็นการสะสมขึ้นมาแล้วเกาะไม่ได้ไง ถ้าเราเกาะสิ่งนี้เห็นไหม เรามาด้วยรถด้วยลา ถ้าเราไม่ทิ้งรถทิ้งลาไว้ที่จอดแล้วเราขึ้นมาบนศาลา เราจะมาที่นี่ไม่ได้เลย

นี้ก็เหมือนกันใน สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมที่เราใช้นี่ มันเหมือนรถเห็นไหม มันเป็นพาหนะที่จะทำให้จิตนี้เข้าถึงตัวมันเอง จะเข้าถึงตัวมันเองจนถึงที่สุดนะ ปล่อยวางกามภพเข้ามาแล้ว  ก็เป็นตัวของตัวมันเอง แล้วต้องทำลายตัวมันเองด้วย ถ้าไม่ทำลายตัวมันเอง มันปล่อยวางเขาเข้ามาแล้ว มันจะยึดมั่นเห็นไหม อัตตานุทิฏฐิสุดท้ายอยู่ที่ตัวอวิชชา สิ่งที่เป็นอวิชชาเพราะเห็นสภาวะว่างหมด สิ่งต่างๆ ว่างหมดเลย แล้วติดในตัวมันเอง  นี่เวลาความว่างเห็นไหม ในธรรมชาติ ในอวกาศ มันก็ว่างของมัน แต่มันไม่มีความรู้สึก เพราะมันไม่มีจิต มันไม่รับรู้ต่างๆ

แต่ความว่างของเรา เรารู้ เราปล่อยวางเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา เรารู้เพราะเราปล่อยวางเห็นไหม ตัวจิตเป็นตัวรับรู้ แล้วตัวรับรู้ตัวนี้ มันรองรับสภาวธรรม  ภาชนะที่จะใส่ธรรม  ภาชนะที่จะสื่อกับธรรมได้ จะเป็นใจของสัตว์โลก สัตว์โลกถึงมีหัวใจ  จิตปฏิสนธิตัวนี้สำคัญที่สุด จิตตัวต่างๆ อาการของขันธ์ อาการต่างๆ นี้ เป็นอาการที่ว่ามันส่งออกไปแล้วรับรู้ไง อาการของปัญญา อาการของสังขาร อาการของเวทนานี้ เป็นอาการของใจ เป็นอาการของขันธ์เห็นไหม ไม่ใช่ตัวใจ ถ้าเป็นตัวใจนี่มันปล่อยอาการต่างๆ เข้ามาแล้วจะเป็นตัวมัน

สิ่งที่เป็นตัวมัน คือตัวธาตุรู้เฉยๆ ธาตุ ๖ ธาตุนี้เป็นธาตุรู้  รู้แต่สื่อเป็นขันธ์ไม่ได้ ย้อนกลับเข้ามาอัตตานุทิฏฐิตัวนี้ ทำลายตัวนี้ออกไป ถ้าทำลายตัวนี้ออกไปเห็นไหม ในอวกาศเขาว่างแต่เขาไม่รู้ตัวมันเอง แต่ในนิพพานว่างแต่รู้ตัวเอง รู้ว่าสิ่งต่างๆ ว่างหมด รู้ในสภาวะของมัน รู้สภาวะของนิพพานนั้นปล่อยวางสิ่งต่างๆ เข้ามา แล้วจะมีความสุขในใจดวงนั้น ธรรมผ่ากิเลสโดย สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มรรค ๔  ผล ๔  นี้เกิดขึ้นเห็นไหม มรรค ๔ ผ่าลงไปเป็น ผล ๔ ออกมาเป็นนิพพาน ๑  มรรค  ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ถึงเป็นสภาวธรรม  ธรรมที่เหนือโลก เอโกธัมโม ธรรมอันเอก

ในสภาวะของโลกนี้ ธรรมเป็นของคู่ทั้งหมด มืดคู่กับสว่าง  ทุกข์คู่กับสุข ความไม่พอใจคู่กับความพอใจ สิ่งนี้เป็นของคู่กันมันถึงสืบต่อกัน แล้วมันถึงแย่งผลงานกันตลอดไป ถ้ากิเลสอยู่ในหัวใจมาก มันจะเหยียบย่ำทำลายใจให้มีแต่ความทุกข์ยาก ความทุกข์ของใจเพราะกิเลสของเรามันเผารนใจ เราไม่เข้าใจสิ่งนี้ เราคิดว่าเราเกิดมาทุกข์ยาก เพราะเราเกิดมาแล้วเราไม่มีอำนาจวาสนา เราถึงไม่สมความคาดหมายของชีวิตเรา อันนั้นมันเป็นความคาดความหมายเห็นไหม ยิ่งคาดหมายขนาดไหนมันก็ทุกข์ จะทุกข์มากทุกข์น้อยอยู่ที่ใจยึดมั่น ถือมั่นกับสิ่งนั้น เป็นเรื่องของกิเลส จะคนมั่งมีศรีสุขขนาดไหนเห็นไหม

ในสมัยพุทธกาล พระที่ออกบวช ออกบวชมาเป็นพระนี่เห็นไหม ออกมาจากกษัตริย์ก็มี สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็มี ออกมาจากคนเข็ญใจคนทุกข์ยากก็มี สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็มี ถ้าถึงเป็นพระอรหันต์แล้วนี่ ถึงที่สุดแล้วถึงเหมือนกัน ถ้าถึงเหมือนกันเห็นไหม ใจมันจะไปเทียบเคียงกับสิ่งนั้นได้อย่างไร จะทุกข์ยาก จะยากจนเข็ญใจ ถ้าเราปฏิบัติธรรมถึงที่สุดแล้ว มันก็เป็นความสุขของใจเหมือนกัน จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน ถ้าประพฤติปฏิบัติมาแล้ว ก็จะต้องมาถึงจุดนี้เหมือนกัน นี่เสมอภาคกันด้วยหัวใจ เพราะคนทุกข์คนยากก็มีใจ คนมั่งมีศรีสุขก็มีหัวใจ หัวใจเหมือนกัน

หัวใจเท่านั้นเป็นการสืบทอดเป็นการสัมผัสศาสนา หัวใจเท่านั้นเป็นภาชนะรองรับธรรม แล้วรองรับธรรมเห็นไหม จากโสดาปัตติมรรค สกิทาคามรรค อนาคามรรค รองรับสภาวธรรม อรหัตตมรรคนี้ตัวมันเอง ตัวหัวใจนั้นต้องทำลายตัวหัวใจนั้นเห็นไหม ถ้าตัวหัวใจที่ทำลายนั้นมันไม่ต้องเป็นภาชนะ มันเป็นธรรมเอง จากเดิมเป็นภาชนะ คือใจไปรับรู้สภาวธรรม รับรู้สภาวธรรมเข้ามาตลอดเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา ถึงที่สุดแล้ว ตัวเองเป็นตัวธรรม เป็นตัวของธรรม ตัวภาชนะหายไป เป็นธรรมล้วนๆ ไง ธรรมอันนี้อยู่ในหัวใจเห็นไหม แล้วจะไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายอีกเลย ไม่ไปเกิดอีกก็จะไม่มีการตาย

แต่ในชาติปัจจุบันนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไป ตั้งแต่ท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมาตั้งแต่วันวิสาขะ  ๔๕ ปี อาศัยขันธ์นี้เป็นประโยชน์กับโลก สั่งสอนโลกให้โลกนี้ได้รับรู้เป็นทางก้าวเดิน  ปฏิปทาเครื่องดำเนิน ปฏิปทาเป็นข้อวัตรปฏิบัติให้ใจนี้ดำเนินเห็นไหม ใจนี้เป็นนามธรรม ถ้าเป็นนามธรรม มันไม่มีสิ่งใดๆ เป็นข้อวัตร เป็นที่เครื่องหมาย เป็นเป้าหมาย มันจะทำสิ่งใดให้เป็นประโยชน์ มีวัตรปฏิบัตินี่เป็นเป้าหมาย สิ่งที่เป็นเป้าหมายนี่ เป็นทางให้เคลื่อนดำเนินไป ดำเนินไปถึงที่สุดแล้วก็ปรินิพพานไป แต่พอกิเลสตายตั้งแต่วันวิสาขบูชานั้น จิตนี้จะไม่เคยตายอีกเลย

เวลามันออกจากร่างไปพร้อมกับสติสมบูรณ์เห็นไหม เป็นสติสมบูรณ์ สติกับใจนั้นเป็นอัตโนมัติ ถ้าจิตมันจะหลุดออกไปจากใจนี่ สติมันพร้อมมันจะเคลื่อนไปไหนมันก็พร้อม เวลามันเผลอเห็นไหม เวลาเราเผลอ เผลอเพราะมันเป็นขันธ์ เผลอเพราะมันเป็นโลกมันไม่เกี่ยว แต่เวลาจิตมันจะพลิกออก หลุดออกไปจากใจ หลุดออกไปจากร่างกายนี้ มันพลิกออกไป พอมันพลิกมันเคลื่อนมันไหวตัว สิ่งที่ไหวตัวมันก็ไหว มันก็ไปทำให้สติไหวขึ้นมา ให้สติให้ความรู้สึกไหวขึ้นมา มันไปพร้อมกันนะ

แล้วมันจะเผลอไปที่ไหนนะ จิตจะมีความพลิกแพลงขนาดไหน สติสมบูรณ์ตลอดไป แล้วมันตายไหม มันไม่ตาย มันหลุดออกไป  ออกจาก ภาราหะเว ปัญจักขันธา  ขันธ์ที่เป็นภาระ ธาตุขันธ์นี้เป็นภาระเป็นการสืบต่อ เป็นสมมุติโลกที่อวิชชามันเป็นเหยื่อออกหากิน แต่พระอรหันต์ก็อาศัยขันธ์นี้ออกไปเหมือนกัน อาศัยขันธ์นี้ ขันธ์อันหนึ่งเป็นขันธมาร เป็นเครื่องการบีบรัดเป็นการเอาเปรียบเป็นการต่อสู้กันต่างๆ  นี้เป็นขันธมาร เป็นของสัตว์โลก แต่ขันธ์ของพระอรหันต์เห็นไหม ขันธ์นี้เป็นขันธ์ที่สะอาด ขันธ์ที่บริสุทธิ์ เพราะธรรมผ่ากิเลสมาเป็นชั้นๆ สิ่งที่ผ่ากิเลสขึ้นมาแล้ว มันเป็นความสะอาดเห็นไหม แล้วใช้ขึ้นมานี่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงว่า  ๔๕ ปี มีแต่ความเมตตา สั่งสอนสัตว์โลก อยากให้สัตว์โลกรู้สภาวธรรมอันนี้ไง เพราะเกิดขึ้นมาแล้วมีโอกาส  ,๕๐๐ กว่าปีมานี่ เวลาล่วงเลยมานี่ คนที่ตายไปแล้ว เขาก็ไม่มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติอีก เว้นไว้แต่ผู้ที่ทำประพฤติปฏิบัติแล้วสมประโยชน์ สมมรรค สมผล อันนั้นเขาได้ผลของเขาไปเห็นไหม แล้วนี่มันก็ถึงเวลาของสัตว์โลก ถึงเวลาของสัตว์ที่ยังมีกิเลสอยู่นี่ มันมีสภาวธรรม มันจะร่อน มีตะแกรงร่อนให้เราผ่านพ้นออกไปได้ ผ่านพ้นเห็นไหม ร่อนออกมาเป็นความบริสุทธิ์ สิ่งที่เป็นกากให้มันติดไว้อยู่ในตะแกรงนั้น  ตะแกรง คือ วัฏฏะ  เราเกิดในวัฏฏะ วัฏฏะก็ร่อนเรา เราก็เวียนตายเวียนเกิด ไม่มีตะแกรงร่อน ธรรมะนี้เป็นตะแกรง

ธรรมะนี้เป็นสิ่งที่ว่า กลั่นกรองเราได้ ถ้าเราเห็นคุณค่าของมันนะ ชีวิตนี้ถึงว่า ปัจจัยเครื่องอยู่อาศัยนั้น หามันพออยู่พอกิน สิ่งที่พออยู่พอกิน เครื่องอยู่อาศัยเลี้ยงชีวิตนี้ไว้ให้ได้ประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติเวลามันมีความทุกข์ความยากขึ้นมา ก็ต้องกัดฟันทน กัดฟันเพราะงานนี้เป็นงานเหนือโลก เรื่องของโลกเขาเห็นไหม คนทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ  เวลาเขาทำงาน เขายังทุกข์ของเขาเลย ทุกข์นั้นทุกข์ประจำโลก  ทำไมเขายังทำของเขาได้   เขาทำได้เพราะเขาต้องการผลประโยชน์ เขาต้องการเงินตราเห็นไหม แต่ของเรานี่ประพฤติปฏิบัติเพื่อจะฆ่ากิเลส สิ่งที่จะฆ่ากิเลส กิเลสมันอยู่ที่ใจ งานของเราจะทุกข์ยากขนาดไหน มันต้องทำได้ เอาชีวิตเข้าแลกไง

ถ้าเรามีความมุมานะ มีความจงใจ มีความตั้งใจ กำลังใจมันเกิด กำลังใจเกิดเห็นไหม ถ้ากำลังใจเกิด ผลของใจมันจะเกิดถ้ากำลังใจอ่อนแอ ถ้ามีความอ่อนแอ มีความคิดท้อถอย มันจะทอนกำลังใจ ทอนกำลังใจเห็นไหม กิเลสอยู่ที่ใจ อวิชชาก็อยู่ที่ใจ เวลามันทอนกำลังใจขึ้นมานี่ มันก็เป็นความสุขของกิเลสสิ กิเลสมันยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะว่าจิตดวงนี้อยู่ในอำนาจของเรา จิตดวงนี้เป็นขี้ข้า เป็นอยู่ในอำนาจของเรา จะพ้นจากเราไปไม่ได้ เพราะเวลาเราหลอกหน่อยเดียวมันยังอ่อนแอเห็นไหม

แต่ถ้าความเพียรเรานี่ กิเลสมันจะหลอกขนาดไหน มรรคผลนิพพานไม่มีแล้ว เวล่ำเวลาผ่านไปแล้วเราทำไปเสียเปล่า อันนั้นกิเลสหลอก กิเลสพูดเราไม่เชื่อมัน เราพยายามเดินจงกรมของเรา เราพยายามสร้างสมของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในพระไตรปิฎก  ๗ วัน  ๗ เดือน  ๗ ปี ผู้ที่ปฏิบัติสม่ำเสมอ ความสม่ำเสมอเห็นไหม ผู้ที่ปฏิบัติเสมอนี่ สิ่งนี้เป็นการทอน ในการประพฤติปฏิบัติมากที่สุดเลย มากเพราะอะไร เพระคนเรานี้ ทำไม่สมควร ทำไม่สมดุลไง ไม่สมดุลตลอดไป ใจมันคลอนแคลนก็ได้ เวลามันคลอนแคลนก็คลอนแคลนไปตามอำนาจของกิเลส

ใจมันคลอนแคลนนั้นมันเรื่องของกิเลส แต่ความเพียรของเราเป็นเรื่องของเรานี่ เป็นเรื่องของเราเห็นไหม เป็นเรื่องของธรรม ถ้าธรรมมันรวมตัว มันทำได้ มันต้องรวมตัว ถ้ารวมตัวขนาดไหนมันผ่าได้ มันผ่ากิเลส ธรรมนี้ผ่ากิเลส แล้วจะเห็นเอง เห็นว่า เวลามรรคสามัคคีนี่ มันสามัคคีขนาดไหน มัน อ๋อนะ  มันร้อง อ๋อ ขึ้นมาในหัวใจ  ถ้าถึง อ๋อ ขึ้นมา มันก็จะผ่านไป ผ่านไป  สังโยชน์ขาดเป็นชั้นๆ เลย  เห็นสังโยชน์ขาดออกไป ขันธ์กับจิตแยกออกจากกัน แล้วตัวของจิตมันจะปล่อยวางขนาดไหน สภาวธรรมนี้มันเกิดขึ้นมาจากใจดวงนั้น  ใจดวงนั้นรู้จักใจดวงนั้น ผลประโยชน์กับใจดวงนั้นเห็นไหม  แล้วใจดวงนั้นพูดถึงใจดวงนั้น

ผู้ปฏิบัติ เราก็มีใจ ใจในหัวใจของเรานี้เป็นของเรา   สิ่งที่เป็นของเราเห็นไหม ประพฤติปฏิบัติถึงซึ่งมรรคผลนิพพาน นั้นก็คือใจของเรา เห็นไหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ถึงเป็นธรรมส่วนบุคคลไง ธรรมสาธารณะนั้นเป็นสภาวธรรม  ธรรมชาตินี้เป็นธรรม ศาสนะเป็นสภาวธรรมต่างๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาวางธรรมไว้ให้เราก้าวเดิน แต่ธรรมของเรา ถ้าเกิดขึ้นมานี่ มันเกิดขึ้นมาจากใจ ถ้าใจของเราเกิดขึ้นมานี่ มันเป็นธรรมส่วนบุคคล ธรรมส่วนบุคคล คือ ธรรมในหัวใจของเรา แล้วจะเป็นประโยชน์เห็นไหม อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ถ้าตนทำใจของเราพ้นออกจากกิเลสได้ มันจะเป็นความสุขของใจดวงนั้น มันเป็นที่พึ่งของตนแล้ว มันจะไม่เบียดเบียนใครหรอก แล้วมันจะเป็นผลประโยชน์ไง สิ่งที่เป็นผลประโยชน์เห็นไหม คนที่เข้าใจ คนที่ตาไม่บอดจะเห็นสิ่งต่างๆ จะใช้ชีวิตในโลก ใช้ไปตามเรื่องของโลกเขา เพราะเป็นคนตาไม่บอด  คนที่มีกิเลสเป็นคนตาบอดเห็นไหม คลำแต่ชีวิตไป คลำไป แล้วก็คาดหมายไปเห็นไหม คลำต่างๆ ไปจะเป็นอย่างนั้น ๆ  เพราะตาบอด ไม่เห็นสภาวธรรม จะคลำอย่างนั้นไป แต่ถ้าธรรมผ่ากิเสสนะ สภาวธรรมมันเกิด ถ้าไม่เกิด มันผ่าไม่ได้ ถ้าผ่าไม่ได้สังโยชน์ก็ขาดไม่ได้ ถ้าสังโยชน์ไม่ขาด แล้วอะไรจะหลุดออกไปจากใจ ถ้าไม่มีอะไรหลุดออกไปจากใจ ใจนั้นก็เป็นใจโดยอวิชชา โดยธรรมชาติของมัน เพราะปฏิสนธิจิต เห็นไหม จิตเกิดขึ้นมาพร้อมกับกิเลสแต่สภาวธรรมที่ปฏิบัตินี้ ฆ่ากิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป จนถึงที่สุดนะ กิเลสผ่าธรรมจนถึงที่สุดแล้ว สิ้นสุดการประพฤติปฏิบัติ เอวัง